เทศน์เช้า วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม เราขวนขวาย เราแสวงหากัน เราแสวงหาความสุข ความสุขนะ ความสุขทางโลก ความสุขทางโลกสุขด้วยอามิส เจือด้วยอามิสไง อยากได้อย่างใดอยากปรารถนาสิ่งใด สมความปรารถนาแล้วเป็นความสุข ความสุข สุขสมความปรารถนา
สมความปรารถนา สมความปรารถนาแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ยุมันก็แหย่ มันปรารถนาให้มากขึ้น ปรารถนาให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ปรารถนาให้ครองโลก พอครองโลกเสร็จแล้วมันก็ไม่พอ มันจะครองจักรวาล ครองจักรวาลมันก็ไม่พอ แล้วมันก็ต้องตายไป พอมันตายไป ตายไปโดยความว่างเปล่า ตายไปโดยไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ของเรา แสวงหาความสุขของเราๆ เวลาคนที่ไปวัดไปวา แสวงหาความสุขของเขา เขามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา เขามีความเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายต้องมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ค้นคว้าโดยที่คนไม่มีครูบาอาจารย์ ค้นคว้าโดยที่ความเชื่อในสังคม ในกระแสสังคมว่า ที่นั่นมีการประพฤติปฏิบัติที่ดี ที่นั่นมีอาจารย์ที่ดี ที่นั่นมีครูบาอาจารย์ที่ดี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามากับเขาหมดแล้วไม่เห็นมีอะไรดีจริงสักอันหนึ่ง พอไม่จริงขึ้นมา ค้นคว้า ค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
ธรรมทั้งหลายต้องมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลายต้องมาแต่เหตุ เหตุ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติค้นคว้าในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วิมุตติสุขๆ
คนเราเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ไง แล้วความสุข ความสุขมันหาที่ไหน ความสุขมันหาที่ไหน ความสุขของเราก็หาแต่ธุรกิจบริการ ความสุขหาเที่ยวรอบโลก ความสุขไปเที่ยวอวกาศ นี่ความสุข เห็นไหม ค่าไปเที่ยวอวกาศ ๔๐–๕๐ ล้านเหรียญน่ะ เป็นพันๆ ล้าน เพื่อไปเสพในบรรยากาศ ในสุญญากาศ
นี่ไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อ เราไปวัดไปวาฟังธรรมๆ ฟังธรรมสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ตอกย้ำมัน ตอกย้ำขึ้นมา ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
ความลังเลสงสัย จะปฏิบัติก็ไม่ได้ จะทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่ถ้าเวลากิเลสมันบีบคั้นหัวใจ ได้ทุกเรื่อง เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาไม่ได้สักอย่างหนึ่ง ไม่ได้สักอย่างหนึ่งเพราะอะไร เพราะเราโลเล เราไม่แน่ใจไง
ไปวัดไปวาฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อความมั่นใจของเรา ถ้าความมั่นใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก ไตรสรณคมของเรา ถ้าไตรสรณคมของเรานะ ถ้าเรามีความเชื่อในสัจธรรม
สัจธรรมคืออะไร
คือการแสดงธรรมๆ นี่คือความจริงของมัน ถ้าความจริงแล้ว เราทำตามความจริงนั้นๆ ถ้าทำตามความจริงนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เราไม่รู้เห็นในใจของเรา เราก็เห็นกระแสสังคม กระแสโลก ยิ่งใหญ่ขนาดไหนมันก็ย่อยสลายไปเป็นธรรมดา
เป็นธรรมดาๆ สิ่งที่เป็นธรรมดา เราเห็นในเรื่องกระแสของโลก แต่เราไม่เห็นด้วยความเป็นจริงในใจของเราไง
แต่ถ้าเราจะเอาความจริงในใจของเรา เราปรารถนาความสุข ถ้าปรารถนาความสุข ไปวัดไปวาเป็นอามิส สิ่งนี้เป็นบุญกุศลของเราๆ เป็นบุญกุศลที่ไหน
เป็นบุญกุศลว่าจิตใจมันมีเจตนา มันอยากทำคุณงามความดีของมัน มันอยากเสียสละของมัน มันอยากเข้าวัดเข้าวา มันอยากต้องการหาที่เป็นสัปปายะ หาที่ความสงบสงัด เราไม่ต้องการที่พลุกพล่าน เราไม่ต้องการที่คลุกคลี เราไม่ต้องการที่ติฉินนินทา เราไปหาแต่ที่สงบระงับ
เราไปวัดไปวาๆ ไปวัดไปวาไปทำบุญกุศลของเราไง ถ้าทำบุญกุศลของเราแล้ว สิ่งที่มันดีขึ้นไปกว่านี้มันคืออะไร ถ้ามันดีขึ้นกว่านี้เราก็แสวงหาตัวเราเองไง
สิ่งที่เจือด้วยอามิสๆ เห็นไหม แต่จะเอาความจริงๆ เราจะสุขในหัวใจของเรา หัวใจของเราที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดมาแล้วเราถือคบเพลิงมาคนละอัน
คบเพลิงคือแสงสว่าง แสงสว่างนั้นมันก็ให้แสงสว่างเรา ให้ความอบอุ่นเรา ให้ประโยชน์กับเรา แต่มันก็ให้ความร้อนกับเราเหมือนกัน
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มนุษย์เกิดมาทุกคนถือคบไฟมาคนละดุ้น แล้วก็บ่นว่าร้อนๆๆ แต่คราวนั้นมีบุรุษคนหนึ่งคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทิ้งดุ้นฟืนนั้นแล้ว แล้วประกาศบอกพวกเราว่าให้ทิ้งๆๆ
แล้วทิ้งตรงไหนล่ะ ทิ้งอะไรล่ะ ไม่รู้จะทิ้งตรงไหน ทิ้งไม่เป็นไง พอทิ้งไม่เป็น เราก็แสวงหาหัวใจของเรา เรามาวัดมาวาแล้วถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา หาดุ้นฟืนของเราไง หาหัวใจของเราไง ถ้าหาหัวใจของเราเจอ เราจะหาวิธีการว่าจะพิจารณามันอย่างไร สิ่งใดที่เป็นความดีงาม เห็นไหม
ไฟ ไฟในเตา ไฟในเตาทำให้อาหารสุกขึ้นมาได้ ไฟในเตาให้ความอบอุ่นเราได้ ไฟในเตาให้แสงสว่างเราได้ ไฟในเตา ไฟในเตาสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเราไง สิ่งที่ถ้าเราไม่ดูแลรักษาขึ้นมามันก็จะลุกลามไหม้บ้านไหม้เรือนของเราไง
ความรู้สึกนึกคิด สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้ามันคิดแต่เรื่องที่ดีงาม คิดด้วยมีสติปัญญาควบคุมดูแลมัน มันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้ามันคิดโดยตัณหาความทะยานอยาก คิดโดยสมุทัย คิดโดยไม่มีเหตุมีผล ไอ้นั่นก็จะเผาผลาญเรา ถ้าเผาผลาญเรา เราค้นคว้าหาหัวใจเรา ถ้าเจอแล้วมันจะพิจารณาของมัน นี่ถ้ามันเป็นความจริงๆ
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย
ถ้าเรายังพึ่งตัวเองไม่ได้ เราก็ไปหาครูบาอาจารย์ของเรา หาผู้ที่ชี้นำคอยแนะนำเรา แต่ถ้าเราทำของเราได้ เราประพฤติปฏิบัติของเราได้ ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดกับเราแล้ว เราจะไปพึ่งใคร พึ่งใคร ใครก็พึ่งไม่ได้
เวลาลูกเกิดมาก็พึ่งพ่อพึ่งแม่ พ่อแม่ก็ให้อาหาร ให้ความรู้ ให้ต่างๆ เราก็พึ่งพาอาศัยพ่อแม่ของเรา ถ้าเราอยู่กับสังคม เราก็อาศัยกระแสสังคม สังคมกระแสที่มันดีงามมีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็อยู่กับสังคมนั้น สังคมนั้นมีแต่ความทุกข์ความยาก สังคมนั้นมีแต่บีบคั้นนะ อพยพๆ อพยพเพราะเศรษฐกิจ อพยพเพราะสงคราม อพยพเพราะมีการขัดแย้งในสังคมนั้น อพยพหนีหมดเลย
นี่ไง ถ้าเราพึ่งอาศัยๆ เราก็พึ่งอาศัยเขา แต่จริงๆ แล้วเราจะพึ่งตัวเราเองๆ ถ้าพึ่งตัวเราเอง เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คนจะพึ่งตัวเองได้ต่อเมื่อมีสติปัญญาใคร่ครวญดูแล ดูแลหัวใจของตน ดูแลหัวใจของตน เห็นไหม
เวลาอยู่ในสังคมแสนทุกข์แสนยาก ทำมาหากินลำบากลำบน มาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระ ลองมาบวชเป็นพระสิ เราทิ้งกระแสโลก
คนเกิดมา สิทธิมนุษยชนมีสิทธิเสมอภาค มีสิทธิเท่ากันหมดเลย แต่เราเสียสละ เสียสละสิทธิเสรีภาพที่ทางโลกเขาทำกัน มาบวชเป็นพระทำอย่างนั้นไม่ได้ สมณสารูป
เรามาบวชเป็นพระๆ ถ้าบวชเป็นพระแล้วถ้าทำคุณงามความดีของเราๆ งานของพระ งานของพระคือเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา สิ่งที่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง การบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพเพราะอะไร
เพราะเราอยู่ในสังคมของพระพุทธศาสนา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
อุบาสก อุบาสิกาเขาก็ปรารถนาบุญกุศลของเขา เขาได้บุญกุศลของเขา บุญกุศลมันเกิดมาจากที่ไหน นึกเอาเองใช่ไหม
เวลาวิญญาณาหารไง สิ่งที่เป็นทิพย์ๆ เราเสียสละไปแล้วมันเป็นวิญญาณาหาร เพราะมันเป็นทิพย์สมบัติในหัวใจของเรา แต่ถ้าเราไม่เสียสละ นึกเอา นึกอะไร นึกอากาศไง นึกไม่ออก นึกไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันเกิดจากที่นั่นไง
แต่ถ้ามันนึกได้ เรามีการกระทำ ใครเป็นคนกระทำ มาวัดมาวา ใครเป็นคนมา ถ้าหัวใจมันไม่คิดมา มาได้ไหม เพราะหัวใจเราคิดมีความปรารถนาไง แต่เวลากิเลสบอกไปไม่ได้ ไปไม่ได้ ไม่มีเวลา มันอยู่ห่างไกล เราไม่พอใจ เราทำไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
เวลากิเลสมันพลิกนะ เวลาจะไปเที่ยวบาร์ เที่ยวโรงบ้า ไปเล่นการพนัน ไปได้ ไปได้ ไปได้ เวลาล้วงกระเป๋ามันล้วงหมดเลย แล้วล้วงหมดเลย นั่นน่ะมีการพนันขันต่อ การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
แต่เราไปวัดไปวาขึ้นมาเราเสียสละของเราๆ ใครได้
หัวใจได้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราหาเงินมาได้บาทหนึ่ง หนึ่งสลึงเราประกอบสัมมาอาชีวะต่อไป หนึ่งสลึงเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ หนึ่งสลึงเราใช้ในครอบครัวของเรา อีกหนึ่งสลึงฝังดินไว้ ฝังดินไว้ สิ่งที่เสียสละมันฝังไว้บนหัวใจของผู้ที่สละนั้น
ฝังบนดินไว้ ฝังไว้ในดิน ฝังไว้ในดินคือฝังไว้ในหัวใจ ฝังไว้ในหัวใจ คนทำดีทำชั่วมันฝังลงที่นั่น ความลับไม่มีในโลก ใครเป็นคนทำ จิตใจเป็นคนทำ มันเป็นคนคิดไง ถ้ามันเป็นเพราะคนคิด เห็นไหม
เวลาเราเลี้ยงลูก เขาบอกว่า อย่าไปดุ อย่าไปเอ็ดมันมากเกินไป มันจะเป็นปมในใจๆ
นี่ไง มันก็ฝังไว้เหมือนกัน การฝังไว้ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ความเคียดแค้น กับความฝังไว้ด้วยบุญกุศล ความฝังไว้ด้วยคุณงามความดี เราพยายามฝังไว้ๆ แต่นี้เราเป็นคนที่มีสติปัญญา เราแสวงหาของเรา เราจะฝังในใจของเราด้วยบุญกุศล ด้วยคุณงามความดีของเรา เวลาไปมันเป็นทิพย์สมบัติๆ ไง
ไปวัดไปวา นี่เรื่องของทาน แต่เรื่องของศีลๆ ศีล เวลาจิตมันดิ้นมันรนขึ้นมา เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา ศีลคือความปกติของใจๆ ใจที่มันสงบระงับนั่นคือศีล ๕ ศีลโดยสมบูรณ์ อธิศีล ศีลที่มันไม่ล่อกแล่ก ศีลที่มันไม่คิดปลิ้นปล้อน ไม่คิดหลอกลวง ไม่คิดทำลายใคร ไม่คิดทำลายแม้แต่ตนเอง
ส่วนใหญ่แล้วทำลายตนเอง จะนั่งสมาธิ ๕ นาที มันไม่ทันนั่ง มันบอกนั่งแล้ว จะนั่งสมาธิชั่วโมงหนึ่ง มันทำลายตัวเองทั้งนั้นน่ะ มันคิดทำลายตัวเองๆ ไอ้ที่ว่าทำลายตัวเองคือความคิดเราทั้งนั้นน่ะ นั่งสมาธิภาวนาก็จะเอาอย่างนั้นเอาอย่างนี้ เอาอะไร
สมาธิภาวนา สมาธิคือความสงบของใจ เราจะเอาความสงบของใจ เราจะเอาความเรียบร้อย ดูสิ ในบ้านในเรือนของเรา ถ้าเราทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วมันจะเรียบเลย ถ้าเราปล่อยไว้ให้รกรุงรัง เหม็น จิตใจของเรามันมีแต่ความเหม็นโดยความโลภ ความโกรธ ความหลง โทสัคคินา โมหัคคินา กิเลสมันขี้รดหัวใจ มันมีความเหม็น
เวลาภาวนา ภาวนาก็ความสงบของใจ ผ้าพับไว้ ผ้าพับไว้มันเรียบร้อย ไอ้ผ้าที่เช็ดเท้ามันใช้เช็ดจนกลิ่นฟุ้งไปหมดเลย ยับยู่ยี่อยู่นั่นน่ะ ผ้าเช็ดเท้า นี่ภาวนา ภาวนาเข้าไปตรงนั้นไง ภาวนาเพื่อความสงบของใจ พอใจมันสงบ นี่ไง ศีล ถ้ามันเกิดสมาธิขึ้นมา โอ้โฮ! เกิดสมาธินะ มันมีความมหัศจรรย์ในใจของตน
ไอ้ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ใช่สมาธิ มันเป็นเจตนา เป็นความปรารถนา ความปรารถนาของคนว่าอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราเป็นชาวพุทธๆ ไง พอชาวพุทธขึ้นมา มีปริยัติ ปฏิบัติ เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา พอเอาความจริงขึ้นมา มาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันสบายๆ สบายๆ
สบายๆ ก็เพลง ‘สบายๆ’ ของไอ้เบิร์ดมันไง แต่มันไม่เป็นสมาธิหรอก เป็นสมาธิขึ้นมามันลึกซึ้งกว่านั้น มันฝังใจกว่านั้น
นี่ไง เราทำบุญกุศลเรายังฝังไว้ในดิน มันยังเป็นบุญกุศลของเราเลย แต่เวลามันทำสมาธิได้ๆ เวลาจิตมันทำสมาธิได้มันมหัศจรรย์ของมันนะ เวลามหัศจรรย์ของมัน มันมีคุณค่าเลย
ทีนี้มันเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มันก็เป็นเรื่องเงินเรื่องทองแล้ว แต่ถ้าจิตมันสงบมีสมาธินี่เป็นเศรษฐีธรรม โอ้โฮ! จะเห็นเรื่องคุณค่าของหัวใจมีคุณค่ามากกว่าคุณค่าทางวัตถุธาตุ
ทางวัตถุมันก็มีค่า มีค่าของโลก เขาเรียกสมมุติไง ค่าของเงินขึ้นๆ ลงๆ มันสมมุติบัญญัติกัน สิ่งที่สมมุติ สมมุติเพราะสังคม มันเป็นกระแสสังคมที่ยอมรับ
แต่ถ้ามันเป็นความสงบในใจของเรา มันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้คนเดียว ไม่มีใครรู้ด้วยหรอก อาจารย์โง่ๆ ก็ไม่รู้ด้วย อาจารย์โง่ๆ มันบอกว่าทำสมาธิๆ สมาธิเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่รู้นะ ไปบอกสมาธิ อาจารย์โง่ๆ มันยังไม่รู้เลย
แต่ถ้าเป็นอาจารย์ที่ดีงามเขาเห็นคุณค่าตรงนี้ เห็นไหม เราทำทานของเรา ไปวัดไปวาเพื่อเสียสละของเรา ไปวัดไปวาเพื่อประพฤติปฏิบัติของเรา ก็เพื่อเหตุนี้ไง
เราลงทุนลงแรงกันนะ เรามีศรัทธาความเชื่อความมั่นคง ไปวัดไปวาเพื่อความมั่นคงของหัวใจของเรา เรามีศรัทธาความเชื่อจนเราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราลงทุนลงแรงกันขนาดนี้นะ
ครูบาอาจารย์ของเราท่านเสียสละชีวิตเลย เสียสละชีวิต ธรรมะอยู่ฟากตาย เวลาภาวนาไปมันมีวิกฤติอะไรขึ้นมา มันจะเป็นจะตาย อะไรตายก่อน ขอดู ขอดูหน้าว่ะ อะไรตายก่อน นี่ท่านสละอย่างนั้น
ถ้าไม่สละอย่างนั้นนะ มันหลอก กิเลสมันพลิกมันแพลง เวลามันจะหลอกคนง่ายนิดเดียวเลย “พรุ่งนี้เช้าจะต้องไปทำงาน นั่งไปแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย โอ้โฮ! ถ้าวิกฤติอย่างนี้เดี๋ยวจะตาย” นี่กิเลสมันหลอกอย่างนี้ แพ้มันหมดเลย
นี่ไง เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลามันหลอก สิ่งที่ว่ามันถึงมีคุณค่าไง มีคุณค่า ดูนะ ระดับของทาน ทำทานร้อยหนพันหนไม่มีบุญกุศลเท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ามีบุญกุศลเท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง
ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการรื้อค้นในหัวใจของตนมันมหัศจรรย์มากขนาดไหน
แล้วครูบาอาจารย์ของเราแสวงหาสิ่งนั้นน่ะ ต้องการปรารถนาให้ชาวพุทธให้มีบุญกุศลอย่างนั้นน่ะ ให้มีคุณธรรมในใจอย่างนั้นน่ะ แล้วคุณธรรมในใจอย่างนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ
มันก็เกิดมาได้ด้วยการทุ่มเทไง การทุ่มเท การมีสติปัญญา การค้นคว้า การแสวงหา แสวงหาใจของตนนี่แหละ
ทั้งๆ ที่ปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ ทั้งที่มันมาเกิดอยู่กลางหัวอกนี่แหละ แต่ไม่มีใครเคยเห็น เพราะพลังงานมันส่งออกหมด
พลังงานทวนกระแสกลับมีแต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เท่านั้น ภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นพลังงานทวนกระแสกลับ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นปัญญาที่ทวนกระแสโลก
แต่ที่คุยโม้โอ้อวดกันนี่มันไปตามกระแสโลก แล้วพูดเป็นวิทยาศาสตร์เสียด้วยนะ พระพุทธเจ้าเห็น ไอน์สไตน์รู้ พยายามจะเอาแต่ไอน์สไตน์ เอาแต่วิทยาศาสตร์เข้ามาเพื่อเป็นรูปแบบ เป็นกรอบ
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกรอบมีเหลือบที่ไหน กิเลสมันหลบที่นั่น ทำลายล้าง ทำลาย สว่างกระจ่างแจ้ง สว่างกระจ่างแจ้งไปด้วยภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา
นี่พูดถึง นี่คือเป้าหมายของพระพุทธศาสนาไง เรามาวัดมาวาขึ้นมาก็เพื่อเหตุนี้ไง
ไอ้มีฤทธิ์มีเดช มีอะไรต่างๆ นั้นน่ะ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทำได้หมด แสงเลเซอร์มันทำได้หมดเลย เครื่องบินไปอวกาศ จรวดมันไปถึงดาวอังคารนู่นน่ะ ทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ก็เป็นโลกนี่ไง วัฏฏะ
แต่ในพระพุทธศาสนาพูดถึงกามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏฏะ โลกสาม มึงไม่เคยเห็นหรอก มึงไม่รู้จัก
มึงหลับตาลงสิ มึงหลับตาลงแล้วจิตเป็นสมาธิ ถ้าคนมีอำนาจวาสนารู้ได้ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันพิจารณาของมันไป
พระพุทธศาสนามหัศจรรย์ แต่ความมหัศจรรย์นี้ ผลของวัฏฏะ เรื่องอภิญญา กระแสโลก เป็นเรื่องโลกียปัญญาคือมนุษย์ทำได้ ลัทธิศาสนาอื่นก็ทำได้ ทำได้ผิดถูกบ้างแล้วแต่ว่ามากน้อยแค่ไหน
แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับวิธีการดับทุกข์ ถ้าดับทุกข์แล้ว ทำลายภวาสวะ ทำลายคือภพ คือสถานที่ ฐานของความรู้สึก ทำลายหมดแล้วจบ แล้วจบแล้วเรื่องอภิญญามันไม่มีตัวไม่มีตน มันไม่มีอะไรสั่นไหว ไม่มีอะไรให้สงสัยให้จิตนั้นคลาดเคลื่อน
ความรู้ของพระอริยเจ้าถึงสำคัญไง สำคัญเพราะไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่อยากดังอยากใหญ่ อยากครอบงำใครทั้งสิ้น เพราะหัวใจของกูก็เกือบตายอยู่แล้ว จะไปครอบงำใคร ไม่มีหรอก นี่คือสัจจะความจริง ไอ้อยากครอบงำ อยากดูแล นั่นน่ะกระแสสังคม กระแสโลก
นี่พูดถึงธรรมะนะ เปรียบโลกแล้วก็เปรียบหัวใจของเรา เปรียบหัวใจของเราก็เพื่อประโยชน์กับเรา
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ธรรมดาของคน สิ่งมีชีวิตต้องอาศัยปัจจัย ๔ เราก็มีหน้าที่การงานในการดำรงชีพ ถ้าพูดถึงทางโลก พระก็ต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพ พระก็ต้องกินข้าว เหมือนกัน แต่หัวใจแตกต่างกัน
หน้าที่การงานเราทำด้วยความไม่ทุกข์ไม่ยากไง เราทำเป็นหน้าที่ แต่ไม่ให้กิเลสมายุมาแหย่ให้เราทุกข์เรายาก เราทำจบแล้วคือจบ ผลมันจะได้มากได้น้อยอยู่ที่บุญวาสนา แล้วถ้ามีสติมีปัญญานะ พยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ รักษาหัวใจเราไว้ ถ้ามีสติมีปัญญาอย่างนี้ งานเป็นเรื่องภายนอกแล้ว งานมันไม่เข้ามากดดันหัวใจ ทุกอย่างจะไม่กดดันหัวใจเราถ้าเรามีสติมีปัญญา มีธรรมะคุ้มครองดูแลใจของเรา เอวัง